Power Practicing
Maximum Progress Minimum Time
การฝึกอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาการสูงสุดโดยใช้เวลาน้อยสุด
แน่นอนครับไม่มีใครเก่งทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด และไม่มีทางที่คุณจะเป็นสุดยอดนักกีตาร์ในเวลาเพียงข้ามคืนได้เลย การที่จะเล่นกีตาร์ให้เก่งได้นั้นย่อมต้องอาศัยการฝึกฝนและศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยในขั้นแรกคุณก็ควรที่จะมีจุดมุ่งหมายในการเล่นกีตาร์ของคุณก่อน ว่าคุณมีจุดหมายอย่างไร
กำหนดจุดมุ่งหมายของคุณ คุณต้องถามใจตนเอง ถามตัวเองว่าเป้าหมายของคุณนั้น คุณสามารถไปถึงได้ไหม แล้วคุณยินดีที่จะดำเนินไปตามแนวทางนั้นนานพอที่จะถึงเป้าหมายหรือไม่ ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายเช่น
1. เพื่อเป็นนักกีตารืที่ดีที่สุดในระบบสุริยะนี้หรือสุริยะอื่นใด
2. เพื่อเริ่มเล่นในวงที่มีนักดนตรีที่มีความสนใจคล้ายกัน
เป้าหมายที่ 1 นั้นอาจจะกินเวลายาวนานอาจใช้เวลาชั่วชีวิตกว่าจะสำเร็จ และอาจจะไปไม่ถึงเลยก็ได้ (แต่คุณก็อาจจะสนุกที่ได้พยายามก็ได้) เป้าหมายที่ 2 อยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะมันคงไม่นานหรอกที่จะทำสำเร็จ ด้วยการตั้งเป้าหมายระยะสั้นไว้หลาย ๆ เป้าหมาย คุณสามารถสร้างความพอใจให้ตัวเองได้ในแต่ละครั้งที่คุณไปถึงเป้าหมายหนึ่ง ๆ จากนั้นคุณก็สามารถตั้งเป้าหมายต่อไปอีกระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญอยู่ที่เป้าหมายระยะสั้นต่าง ๆ ของคุณควรจะสีมพันธ์กับเป้าหมายระยะยาวของคุณ ตัวอย่างเช่น จะซ้อมกับวงบลูส์(เป้าหมายที่ 2)ไปทำไมในเมื่อคุณอยากจะเป็นนักกีตาร์คลาสสิกฝีมือดี(เป้าหมายที่ 1)
ทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมาย รับคำแนะนำจากนักดนตรีที่จะสอนคุณได้เกี่ยวกับว่าจะฝึกอะไรและอย่างไร เขียนรายการของสิ่งที่จะฝึกประจำวันและวัตถุดิบเช่น หนังสือสอนต่าง ๆ โน๊ตเพลงต่าง ๆ และอื่น ๆ คุณจะได้จัดตารางเวลาของคุณได้ ปรับปรุงวัตถุดิบนั้นใหม่เพื่อจะได้ปรับปรุงดนตรีบนโลกใบนี้ จัดระบบมันเพื่อจะได้ถ่ายทอดให้คนอื่นได้ (การสอนจะยิ่งช่วยเพิ่มความเข้าใจของคุณด้วย) เรียนกับครูหลาย ๆ คน เพราะทุกคนต่างก็มีวิธีเฉพาะของตนในการมองดนตรี และครูที่ดีก็สามารถทำให้สิ่งต่าง ๆ นั้นง่ายขึ้นสำหรับคุณ
การรับมือกับอุปสรรค คือสิ่งใดก็ตามที่ขัดขวางหรือทำให้ความก้าวหน้าของคุณช้าลง ซึ่งแต่ละคนจะเจออุปสรรคที่ต่าง ๆ กันไป เมื่อคุณรู้ว่าอุปสรรคของคุณคืออะไร คุณก็จะสามารถทำให้มันลดน้อยลงหรือกำจัดมันไปได้ ต่อไปจะเป็นอุปสรรคบางอย่างที่พบ
1. กีตาร์ของคุณผิดปกติ หรือเป็นกีตาร์ที่ไม่เหมาะกับสไตล์ที่คุณเล่น
2. เวลาทำงานของคุณมันมากเกินไปทำให้คุณเหนื่อยเกินไปที่จะฝึกกีตาร์ได้
3. ปัญหาจากการดำเนินชีวิตประจำวันต่าง ๆ ที่บีบให้คุณไม่มีเวลาไปฝึกกีตาร์ ฯลฯ
บางครั้งคุณเองที่เป็นคนสร้างปัญหาขึ้นมา เพราะฉะนั้นจงแน่ใจว่า วัตถุดิบที่คุณนำมาฝึกนั้นสัมพันธ์กับเป้าหมายของคุณ ถ้าหากไม่สอดคล้องกัน คุณก็จะเสียเวลาและพลังงานไปเปล่า ๆ และจะหงุดหงิดกับผลที่ออกมาแย่ ๆ อีกด้วย คุณสามารถมองอุปสรรคต่าง ๆ เป็นการทดสอบว่า คุณเชื่อมั่นในดนตรีอย่างแท้จริงไหม การเจอสิ่งท้าทาย (รวมทั้งการสร้างสิ่งท้าทายขึ้นมา) จะนำไปสู่การพัฒนา
การกำจัดอุปสรรค ถ้าคุณเอาจริงกับการเป็นนักดนตรี อาจต้องทำการเปลี่ยนแปลงบางประการ การเล่นดนตรีด้วยระดับฝีมือสูง ๆ คุณต้องมีวินัย เช่นการตัดเวลาดูโทรทัศน์ เวลาเที่ยวเตร่และต้องคุยอย่างใจเย็นกับคนที่คุณอยู่ด้วย เพื่อให้เขาเข้าใจถึงเรื่องการฝึกซ้อมของคุณอย่าใช้อารมณ์เมื่อเวลาฝึกซ้อมคุณถูกรบกวน
การจัดสิ่งแวดล้อมสถานที่ฝึกที่ดี โดยเลือกส่วนที่ห่างจากส่วนที่วุ่นวายของบ้านเข้าไว้ ถ้าจำเป็นต้องฝึกในบริเวณใดชั่วคราว ก็จัดการที่ว่างนั้นให้อยู่ในการควบคุมของคุณ เพื่อที่คุณจะสามารถฝึกได้ลุล่วง ถ้าอยู่กับคนอื่นก็บอกให้เขารู้ว่าคุณจะเริ่มฝึกตอนไหน แล้วให้เขาช่วยบอกปัดโทรศัพท์ของคุณจนกว่าจะฝึกเสร็จ เพื่อให้การฝึกซ้อมไม่ถูกรบกวน
ท่าทางที่เหมาะสมเวลาฝึก จะทำให้คุณมีสมาธิมากขึ้น เช่นเก้าอี้ที่นั่งสบาย การมีเมโทรโนมใกล้ ๆ เพื่อตั้งความเร็วและตรวสอบความก้าวหน้าของฝีมือได้ แท่นวางโน๊ต และหนังสืออ้างอิงทางดนตรีต่าง ๆ ควรอยู่ใกล้ ๆ เผื่อเวลาเบื่อจะได้มีเรื่องอื่นให้ได้เรียนรู้บ้าง เอากีตาร์ตั้งไว้ที่ขาตั้งในสภาพพร้อมเล่นได้ทันที หรือมีเครื่องเสียงเพื่อให้สามารถเล่นแจมไปกับเทปได้ รวมทั้งกระดาษ ดินสอเพื่อจดโน๊ตเวลาแกะเพลง ฯลฯ
การทำตารางเวลาฝึก ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องตั้งเป้าหมายและจัดสรรเวลาของคุณแล้ว เขียนรายชื่อสิ่งแรก ๆ ที่คุณอยากจะฝึกออกมา แล้วค่อยเติมสิ่งอื่น ๆ เข้าไปในรายการนั้นทีหลัง แน่นอนสิ่งที่คุณฝึกนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของดนตรีที่คุณสนใจ ถ้าคุณชอบแนว rock คุณอาจต้องอุทิศเวลาให้กับเทคนิคและการเล่นริทึ่ม การอิมโพรไวส์ และการหัดโซโลกับหัดเพลงต่าง ๆ มือกีตาร์คลาสสิกมักจะมุ่งเน้นอยู่ที่เทคนิคส่วนต่าง ๆ ของเพลงและการ sight read (อ่านโน๊ตไป เล่นตามไปพร้อม ๆ กัน)
สิ่งที่คุณฝึกนั้นยังขึ้นอยู่กับความจำเป็นเฉพาะบางประการอีกด้วย แต่หัวข้อต่อไปนี้อาจจะช่วยให้คุณได้ไอเดียเกี่ยวกับวิธีการทำตารางเวลาฝึกด้วยตัวคุณเองได้
พัฒนาการทางเทคนิค เช่นการที่มุ่งฝึกไปที่สเกล อาร์เพจิโอและแบบฝึกหัดเรื่อง String-Crossing แผนภาพต่อไปนี้แสดงถึงการวางมือแบบต่าง ๆ สำหรับเมเจอร์สเกลทั้ง 12 คีย์ ในขณะที่อยู่ใน Fretboard Position เดียวกัน ซึ่งกำหนดไว้ในช่วง 6 เฟร็ท ตัวเลขที่แสดงหมายถึงการวางนิ้วมือซ้าย (นิ้วที่ 1 - 4 ครอบคลุมพื้นที่ของแต่ละเฟร็ท 1 คือนิ้วชี้จะคุมการเล่นสายทุกเส้นที่อยู่บนเฟร็ทที่ 1 และ 2 เป็นต้น) และตัว R หมายถึงตัว root (ตัวหลักของสเกลและคอร์ด) และเพราะว่าการวางมือสามารถเลื่อนได้ คุณจึงสามารถเล่นได้ทั้ง 12 คีย์ตรงบริเวณ Fretboard ก็ได้ทั้งนั้น
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
การอิมโพรไวส์ กว่าคุณจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านดนตรีได้อย่างเป็นธรรมชาตินั้น มีปัญหาทางเทคนิคมากมายที่คุณต้องแก้ไข เพื่อจะช่วยให้จำ Fretboard ได้ปรุโปร่งอย่างรวดเร็ว เช่นการอัด chord change ของเพลง ๆ หนึ่งไว้แล้วก็ฝึกเล่นอาร์เพจิโอไปตาม chord change ที่อัดไว้นั้น จากนั้นก็เปลี่ยนไปเล่นสเกลต่าง ๆ และฝึกโซโลไปกับ chord change นั้นโดยไม่มีกติกาใด ๆ คงจะเป็นประโยชน์ด้วยถ้าคุณวิเคราะห์ทำความเข้าใจท่อนโซโล พอคุณเล่นท่อนลิคหรือโซโลได้แล้ว ลองไปไปเป็นแบบของคุณเองดู
หลาย ๆ คนมักถามว่า การฝึกสเกลเกี่ยวกับการอิมโพรไวส์อย่างไร และทำอย่างไรถึงจะทำให้ไอเดียมันไม่สะดุดตลอดการเล่น chord change ชุดหนึ่งอยู่ แบบฝึกหัดต่อไปนี้จะตอบคำถามทั้ง 2 ข้อนี้ ขอให้สังเกตว่ามันประกอบไปด้วย line ขาขึ้นของ diatonic scale (สเกลที่มีโน๊ต 7 ตัว โดยมีตัว root เป็นตัวเริ่มต้นและตัวลงท้าย ในแบบฝึกหัดนี้ใช้เมเจอร์สเกล) ที่เปลี่ยนไปทีละครึ่ง step (หนึ่ง semitone หรือ 1 เฟร็ท) ทุก ๆ 4 บีท และเนื่องจากผู้เริ่มหัดอิมโพรไวส์มักจะเริ่มต้นที่ root ของ chord แบบฝึกหัดนี้จึงเป็นวิธีหยุดพฤติกรรมนี้ที่ดีมาก ให้สังเกตว่าโน๊ตที่เล่นเป็นตัวแรกสำหรับคอร์ด C ในแบบฝึกหัดนี้เป็นตัว root แต่สำหรับคอร์ด C# ตัวแรกที่เล่นเป็นตัวโน๊ตตัวที่ 4 (F#) สำหรับคอร์ด D เป็นตัวที่ 7 (C#) สำหรับคอร์ด Eb เป็นตัวที่ 3 (G) ดูโน๊ตตามในแบบฝึกหัด
คอร์ด เช่นการหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคอร์ดและฝึกความคล่องแคล่ว โดยการเรียบเรียงเมลโลดี้ใน fake book โดยฝึกเล่นคอร์ดประกอบให้มือโวโลในจินตนาการ และฝึกคอร์ดประเภทต่าง ๆ ในทุก ๆ inversion (inversion ของคอร์ดใด ๆ คือรูปแบบของคอร์ด ๆ นั้นที่สลับโน๊ตตัวอื่นในคอร์ดนั้นเป็นเสียงต่ำหรือสูง นอกเหนือจากรูปแบบที่ root เป็นตัวต่ำสุดที่เรียกว่า root position chord) และทุก ๆ คีย์
first string : root | |||||||
maj7 | ![]() |
V | ![]() |
VIII | ![]() |
XII | ![]() |
7 | ![]() |
V | ![]() |
VIII | ![]() |
XII | ![]() |
m7 | ![]() |
V | ![]() |
VIII | ![]() |
XII | ![]() |
แผนภาพข้างบนนี้แสดงถึง inversion ต่าง ๆ ของ root position chord ต่าง ๆ (ทุกคอร์ดในตัวอย่างนี้มี G เป็น root tonic ทั้งหมด) แผนภาพแถวบนสุดประกอบด้วยคอร์ด major 7th แถวกลางเป็นคอร์ด dominant 7th แถวล่างสุดเป็นคอร์ด minor 7th คอร์ดตามแผนภาพเหล่านี้เล่นบนสายที่ 1,2,3 และ 4 เมื่อคุณจำได้หมดแล้วลองหาวิธีวางมือบน 4 สายถัดไปคือ 2,3,4 และ 5 ต่อจากนั้นก็ 3,4,5 และ 6 หลังจากคุ้นกับการวางมือทั้งหมดแล้ว ก็ลองเล่นในคีย์อื่นทั้ง 11 คีย์ดู (เปลี่ยน root หรือ tonic ของคอร์ด) นอกจากนั้นให้แน่ใจว่าคุณรู้ชื่อดน๊ตทุกตัวในคอร์ดและความสัมพันธ์ที่มันมีต่อ root ของคอร์ดด้วย
การ sight read การจะเป็นนัก sight read ที่เก่งได้นั้น ไม่ได้มีหนทางลัด หัวใจสำคัญคือต้องทำมันอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลายาวนาน คุณต้องมีโน๊ตเพลงไว้เยอะ ๆ ซึ่งแนะนำให้ใช้โน๊ตของ clarinet, saxophone,violin และ trumpet เริ่มจากดนีตง่าย ๆ ก่อนแล้วค่อย ๆ เพิ่มความยากไปในขณะที่คุณพัฒนาขึ่นตามลำดับ
ให้คุณ sight read โน๊ตชุดหนึ่ง ๆ เพียงครั้งเดียว เพราะถ้าคุณเล่นมัน 2 ครั้ง คุณก็ทำลายจุดประสงค์ไปแล้ว พอคุณเล่นโน๊ตชุดนั้นเสร็จแล้วก็ให้เก็บมันไว้ใต้สุดของกองโน๊ตของคุณ แล้วหยิบชุดต่อไปที่อยู่บนสุดมาเล่นต่อ
ใช้เมโทรโนมช่วย เปลี่ยนความเร็วไปกับโน๊ตชุดหนึ่ง ๆ ที่คุณเล่นคุณจะได้รู้สึกสบายกับทุก ๆ tempo คุณสามารถจะตั้งเมโทรโนมให้ดังตรงบีทที่ 1และ 3 หรือ 2 และ 4 แบบ hihat ของมือกลองแนวแจ๊สก็ได้ การ sight read กับนักดนตรีคนอื่น ๆ จะช่วยให้คุณพบจุดอ่อนต่าง ๆ ที่คุณอาจมองข้ามไปได้ สำหรับโน๊ตท่อนที่ยาก ๆ ให้เล่นโดยไม่ต้องคำนึงถึง rhythm ก่อน เล่นช้า ๆ ไม่ต้องเข้าจังหวะ สุดท้ายค่อยเล่นโน๊ตนั้นพร้อมกับ rhythm ของมันให้เข้าจังหวะ
เริ่มทำตารางเวลาฝึกของคุณเองซะตั้งแต่ตอนนี้เลย แปะเอาไว้ตรงบริเวณที่ฝึก และเปลี่ยนสิ่งที่จะต้องฝึกเป็นระยะ ๆ ในช่วง 1 สัปดาห์ ต้องหาเวลาให้กับทุกสิ่งที่อยู่ใน list ของคุณ บางครั้งมันก็เป็นความคิดที่ดีที่จะฝึกเป็นช่วงสั้น ๆ หลาย ๆ ช่วง แทนที่จะฝึกยาวรวดเดียว เช่นฝึกครั้งละ 1 ชั่วโมงครึ่ง 3 ช่วง เมื่อคุณเกิดเบื่อหรือเสียสมาธิขึ้นมา ก็ให้ฝึกอย่างอื่นแทนเพื่อทำให้สิ่งต่าง ๆ ยังคงน่าสนใจตลอด
สุดท้ายนี้การคิดในแง่ดีเป็นสิ่งสำคัญ การยืนยันเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้มันกลายเป็นความจริงได้
อ้างอิงจาก นิตสาร Overdrive No. 29 แปลจาก Guitar Player
ทั้งหมดนั้นเป็นแนวคิดของฝรั่ง และเน้นที่จะเป็นนักดนตรีอย่างจริงจัง คราวนี้ผมจะเสนอแนวทางฝึกแบบของผมเพื่อเป็นการฝึกแบบเล่นเป็นงานอดิเรกหรือเพื่อการผ่อนคลาย ซึ่งก็คงคล้าย ๆ กันคือ
1. ต้องมีเป้าหมายบ้างเช่นชอบแนวอาคูสติก , คลาสสิก หรือร็อคเป็นต้น เพื่อจะได้เลือกเพลงหรือตำรับตำราต่าง ๆ มาประกอบการฝึกที่เหมาะสม และการที่มีศิลปินหรือเพลงในดสงใจก็จะช่วยให้เรามีความตั้งใจและจูงใจในการฝึกมากขึ้น ดีกว่าการหยิบหนังสือเพลงมาเปิดแล้วก็จับคอร์ดตีไปเรื่อย ๆ
2. เพื่อการเล่นแบบเป็นงานอดิเรกเราไม่ต้องจริงจังมากจนเครียด ดังนั้นเราอาจจะไปหา tab ซึ่งง่ายกว่าการอ่านโน๊ต มาช่วยในการฝึกหัดเพลงที่เราชอบ อาจจะฝึกเป็นเพลง ๆ หรือฝึกที่ละหลาย ๆ เพลงไปก็ได้ และอาจจะหาตัวเสริมในการฝึกเช่นซอฟแวร์ที่เกี่ยวกับกีตาร์ (ผมใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้มากครับ)
3. การหาเวลาให้กับการฝึก ซึ่งคงไม่ต้องฝึกกันทีวันละ 6 หรือ 8 ชั่วโมง เพียงหาเวลาให้มันบ้างในช่วงเวลาว่าง ๆ สัก วันละ 1 - 2 ชั่วโมง หรืออย่างน้อยที่สุดก็น่าจะซัก 30 นาทีก็ยังดีเช่นช่วงก่อนนอน หรือเวลาค่ำ ๆ หลังอาหารเย็นเป็นต้น
4. พยายามหาเพลงแนวที่ชอบมาฟังมาก ๆ รวมทั้งหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องของทฤษฎี ซึ่งมันจะทำให้การเรียนรู้และการฝึกหัดของเรามีหลักการและน่าสนใจมากขึ้น
5. ดูนักดนตรีอื่น ๆ หรือใครก็ได้ที่เก่งกว่าเราเล่นแล้ว พยายามศึกษาวิธีเล่นของเขาเช่นเทคนิคต่าง ๆ ที่เขาใช้ แต่ไม่ใช่วางคนที่เล่นไม่เก่งก็ไม่สนใจเขานะครับ บางที่เขาอาจจะมีเทคนิคอะไรที่อาจจะมีประโยชน์ก็ได้ ดังนั้นเห็นใครเล่นกีตาร์อยู่ก็เดินเข้าไปดูซะหน่อยแล้วกัน
6. เรื่องสุดท้ายที่อยากจะบอกคืออย่าพยายามฝึกเล่นเพราะเพื่อว่าอยากเท่ห์เอาไว้โชว์หรือประเภทขอเพลงเดียวก็พอเอาไว้โชว์ เพราะถ้าคุณคิดอย่างนี้ โอกาสที่คุณจะพัฒนาฝีมือนั้นน้อยมากครับ
ทั้งหมดนี่เป็นเพียงสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่ควรจะทำเพื่อการฝึกหัดกีตาร์ให้ได้ผล ทั้งแนวคิดของระดับมืออาชีพ และแนวคิดของผมเองเพื่อฝึกสนุก ๆ เล่นเป็นงานอดิเรกไม่ได้มุ่งเป็นนักดนตรีจริงจัง แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความตั้งใจจริงในการฝึกหัด และต้องมีความปรารถนาที่แท้จริงในการอยากเล่นกีตาร์เป็น
คราวนี้อาจะเนื้อหามากไปหน่อยนะครับแต่ผมเห็นว่ามีประโยชน์จึงเอามาถ่ายทอดให้เพื่อน ๆ ครับแล้วคราวหน้าผมก็จะหาบทความหรือเรื่องราวที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ล่าช้าไปพอสมควรเนื่องจากผมมีภาระต่าง ๆ มากพอสมควร